วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความหมายและความแตกต่างของ SOA และ WEB SERVICE

Service-Oriented Architecture (SOA) คืออะไร
คือเป็นสถาปัตยกรรมหนึ่งที่วงการไอทีกล่าวถึงกันมากที่สุดและหลายๆองค์กรต่างก็พยายามพัฒนาระบบไอทีขององค์กรเข้าสู่ระบบ SOA แต่เนื่องจากระบบ SOA ยังเป็นเรื่องใหม่ หลายคนไม่เข้าใจว่าคืออะไร บางครั้งเข้าใจไปว่า SOA กับเว็บเซอร์วิส (Web Service) ก็คือเรื่องเดียวกัน และพยายามที่จะพัฒนาเว็บเซอร์วิสขึ้นมาและเข้าใจว่าได้พัฒนา SOA ในองค์กรแล้ว จริงๆแล้ว SOA คือหลักการและแนวคิดซึ่งในการพัฒนา SOA อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือ (Software Tool) มิดเดิ้ลแวร์ที่เป็น Enterprise Service Bus (ESB) และใช้ เว็บเซอร์วิส หรืออาจใช้แนวทางอื่นๆก็ได้เช่นการใช้ CORBA หรือ Java RMIระบบสถาปัตยกรรมเชิงบริการหรือ SOA เป็นแนวคิดในการจะออกแบบระบบไอทีในองค์กรให้เป็นระบบเชิงบริการ (Service Oriented) ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ทั้งนี้ระบบไอทีขององค์กรต่างๆในปัจจุบันมักจะมีสถาปัตยกรรมแบบ Silo Oriented Architecture ซึ่งการพัฒนาระบบไอทีในแต่ละระบบต่างเป็นอิสระต่อกัน อาจมีระบบที่ใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันเช่น Java, .NET, Oracle หรือ SAP เป็นต้น จึงทำให้ยากต่อการเชื่อมต่อ บำรุงรักษายาก มีค่าใช้จ่ายสูง ปรับเปลี่ยนระบบได้ยาก และการพัฒนาระบบใหม่ๆเป็นไปด้วยความล่าช้า

องค์ประกอบที่สำคัญของ SOAองค์ประกอบต่อไปนี้เป็นองค์ประกอบที่จำเป็น เพื่อให้สามารถเรียกใช้บริการอื่นๆ ได้ ดังนี้
1. เซอร์วิส (Service) กลุ่มของอินเตอร์เฟสที่ระบุฟังก์ชันต่างๆ ที่สามารถให้ระบบอื่นสามารถเรียกใช้บริการได้
2. ผู้ให้บริการ (Service Provider) กลุ่มของคอมโพเนนต์ที่สามารถทำฟังก์ชันที่เป็นบริการตามที่กำหนดไว้เป็นเซอร์วิส (Service Specification)
3. ผู้รับบริการ (Service Consumer or Requestor) ระบบอื่นๆ ที่เรียกใช้เซอร์วิสซึ่งระบบอื่นๆ อาจจะเป็นเซอร์วิสที่เรียกใช้เซอร์วิสด้วยกันก็ได้
4. ผู้ให้บริการข้อมูลรายละเอียดของเซอร์วิสและค้นหาสถานที่ตั้งของผู้ให้บริการ (Service Locator) เป็นผู้ให้บริการประเภทหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ลงทะเบียนรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ให้บริการ (Service Registry) และคอยให้บริการข้อมูลรายละเอียดที่จำเป็นสำหรับการเรียกใช้บริการ
5. ตัวแทนติดต่อระหว่างผู้รับบริการและผู้ให้บริการ (Service Broker) ทำหน้าที่ช่วยติดต่อส่งคำร้องขอบริการจากผู้รับบริการไปยังกลุ่มของผู้ให้บริการ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการติดต่อเรียกใช้บริการขั้นตอนการทำงานร่วมกันระหว่างผู้รับบริการ ผู้ให้บริการ ตัวแทน และผู้ให้บริการข้อมูลรายละเอียดของเซอร์วิส
เพื่อให้ผู้รับบริการสามารถเรียกใช้เซอร์วิสที่ต้องการได้

จากรูปเริ่มต้นที่การประกาศแจ้งการให้บริการ (Publish) เมื่อผู้ให้บริการต้องการประกาศแจ้งให้ผู้อื่นทราบและสามารถเรียกใช้บริการได้ ผู้ให้บริการจะต้องนำรายละเอียดการให้บริการ (Service Description) มาลงทะเบียนเก็บไว้ ที่ผู้ให้บริการข้อมูลรายละเอียดของเซอร์วิส (Service Registry) เพื่อให้ผู้ต้องการรับบริการได้มาค้นหาและเรียกใช้เมื่อผู้รับบริการต้องการเรียกใช้บริการจะต้องเริ่มจากการค้นหาบริการที่ต้องการ (Find) ว่ามีผู้ให้บริการใดบ้างที่ให้บริการตามที่ตนต้องการ ซึ่งผู้ให้บริการข้อมูลรายละเอียดของเซอร์วิส จะเป็นผู้ค้นคืน รายละเอียดของผู้ให้บริการที่จำเป็นสำหรับติดต่อขอรับบริการเชื่อมต่อไปยังผู้ให้บริการและเรียกใช้ (Bind and Invoke) หลังจากผู้รับบริการได้รายละเอียดของผู้ให้บริการจะทำการเชื่อมต่อไปยังผู้ให้บริการ ตามที่อยู่ด้วยวิธีการติดต่อสื่อสาร (Transport Protocol) เพื่อส่งคำร้องขอบริการ ตามรายละเอียดวิธีการเรียกใช้บริการและผลของการให้บริการจะถูกส่งกลับมายังผู้ร้องขอบริการด้วยวิธีการและมีรายละเอียดตามที่กำหนดเช่นกัน

ประโยชน์ของ SOA
1. ช่วยให้ระบบเดิมยังสามารถทำงานได้ เนื่องจากการติดต่อเรียกใช้บริการในสถาปัตยกรรม SOA จะเรียกใช้ผ่านอินเตอร์เฟสคอมโพเนนต์ที่ให้บริการจะพัฒนาด้วยเทคโนโลยีใดก็ได้
2. ทำให้การบูรณาการงานต่าง ๆ ในระดับธุรกิจทำได้ง่ายขึ้นและลดความซับซ้อน เนื่องจากสถาปัตยกรรมของ SOA เชื่อมโยงบริการต่าง ๆ เข้าด้วยกันผ่านอินเตอร์เฟส
3. ใช้เวลาน้อย ลดต้นทุนในการพัฒนาระบบสารสนเทศ และเพิ่มทรัพยากรที่มีอยู่
------------------------------------------------------------------------------------------------

Web Services คืออะไร
Web Services คือ application หรือ program ที่ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในลักษณะให้บริการ โดยจะถูกเรียกใช้งานจาก application อื่นๆ ในรูปแบบ RPC(Remote Procedure Call) ซึ่งการให้บริการจะมีเอกสารที่อธิบายคุณสมบัติของบริการกำกับไว้ โดยภาษาที่ถูกใช้เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนคือ XML ทำให้เราสามารถเรียกใช้ component ใด ๆ ก็ได้ ใน ระบบ หรือ platform ใด ๆ ก็ได้ บน protocol HTTP ซึ่งเป็น protocol สำหรับ World Wide Web หรืออินเทอร์เน็ต อันเป็นช่องทางที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกในการติดต่อสื่อสารกันระหว่าง application กับ application ในปัจจุบัน
การทำงานของ Web Services ประกอบไปด้วย มาตรฐานหลัก 4 อย่าง ซึ่งสามารถอธิบายอย่างง่ายๆ ได้ดังนี้

1. XML (Extensible Markup Language) เป็นภาษามาตรฐานที่ทุกระบบสนับสนุน ทำให้ข้อมูลที่มีโครงสร้างของภาษา XML จะถูกนำไปประมวลผลต่ออย่างอัตโนมัติได้อย่างง่ายดาย ภาษา XML จึงถูกนำมาใช้เป็นภาษามาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลของ Web Services
2. SOAP (Simple Object Access Protocol) หรือโซพ เป็นมาตรฐานของเทคโนโลยี Distributed Objects แบบหนึ่ง โดยทำหน้าที่ส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ในรูปแบบของ XML ทำให้เรียกใช้งานโปรแกรมข้ามระบบผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้
3. WSDL (Web Services Description Language) เป็นภาษามาตรฐานที่ใช้สำหรับอธิบายการใช้งานโปรแกรมที่เปิดให้บริการ ซึ่งเขียนขึ้นตามแบบมาตรฐาน XML ดังนั้น WSDL จึงเป็นเสมือนคู่มือให้กับระบบ เพื่อเรียนรู้วิธีการเรียกใช้งาน Web Services
4. UDDI (Universal Description, Discovery, and Integration) เป็นระบบมาตรฐานในการอธิบายและค้นหา Web Services โดยเป็นตัวกลางให้ Provider มาลงทะเบียนไว้ โดยใช้ไฟล์WSDL บอกรายละเอียดของบริษัทและบริการที่มีให้ ทำให้ Requestor สามารถค้นหาและทราบว่าบริษัทมีผลิตภัณฑ์และบริการอะไรบ้าง สามารถติดต่อขอดำเนินธุรกิจการค้ากับบริษัทได้โดยอัตโนมัติผ่านทาง Web Services

จากมาตรฐานทั้ง 4 อย่างที่กล่าวข้างต้นสามารถสรุปลำดับขั้นของการทำงานของ Web Services ได้ดังนี้
1. Provider จัดทำระบบหรือบริการที่เป็น Web Services ขึ้นมา
2. ทำการลงทะเบียน Web Services กับหน่วยงานที่ให้บริการระบบ UDDI (หรือ Registry)
3. นำ WSDL ไฟล์ไปไว้ในระบบ UDDI ที่ได้ลงทะเบียนไว้
4. Requestor ทำการค้นหาระบบหรือบริการที่ต้องการจากระบบ UDDI
5. เมื่อ Requestor ได้พบระบบหรือบริการที่ต้องการจะนำไฟล์ WSDL ไปเรียนรู้วิธีการเรียกใช้ผ่านระบบของตน
6. Requestor ทำการติดต่อและเรียกใช้ระบบหรือบริการจาก Provider ได้โดยตรงผ่าน SOAP ในระบบของตน

ถ้าพิจารณาลักษณะการทำงานและความสามารถของ Web Services แล้ว เราสามารถสรุปได้ว่า Web Services ก็คือ วิวัฒนาการอีกก้าวหนึ่งของ Web Application นั่นเอง

ประโยชน์ของ web service

1. การเกิดพันธมิตรทางการค้าโดยการค้นหาของ UDDI
2. การทำธุรกิจการค้าและบริการเป็นไปโดยอัตโนมัติในระดับ (A2A) โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านทาง Web Services
3. ลดต้นทุนในด้านพัฒนาระบบโดยไม่จำเป็น สามารถขอบริการจาก Web Services
4. ขีดความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้ามีความคล่องตัว สามารถใช้ประโยชน์จากแอพพลิเคชั่นต่าง ๆภายใต้ระบบงานที่แตกต่างกันอย่างรวดเร็ว และคุ้มค่า
5. การพัฒนาช่องทางการเข้าถึงข้อมูลทางธุรกิจสอดคล้องกับผู้ใช้แบบร่วมกันและแบ่งตามส่วนของแต่ละกลุ่มโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่
6. ง่ายต่อการนำไปใช้งานเนื่องจากในปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายที่ใช้ช่วยเหลือในการพัฒนาWeb Services
7. สามารถเชื่อมโยงสารสนเทศภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-------------------------------------------------------------------------------------------------

SOA กับ Web Services เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

SOA เป็นรูปแบบของการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เน้นให้ซอฟต์แวร์สามารถให้บริการได้โดยไม่ มีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดของแพลตฟอร์มที่ใช้ของผู้ร้องขอบริการ ส่วน Web service เป็นซอฟต์แวร์ที่ให้บริการผ่านทางอินเทอร์เน็ตซึ่งข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการและผู้ขอบริการอยู่ในรูปแบบของภาษาเอกซ์เอ็มแอล ฉะนั้นจริง ๆ แล้ว Web service คือซอฟต์แวร์ที่สามารถพัฒนาในอยู่ในรูปแบบของ SOA การที่ผู้ให้บริการ Web service และ ผู้ร้องขอ Web service สื่อสารกันด้วยภาษาเอกซ์เอ็มแอลซึ่งเป็นภาษามาตรฐานที่ใช้ในการนำเสนอและแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านทางอินเทอร์เน็ต จึงทำให้การเรียกใช้ Web service ไม่ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มของผู้เรียกใช้ โดยสรุปแล้ว SOA เป็นสไตล์หรือเป็นรูปแบบ ส่วน Web service Technology เป็นวิธีการพัฒนา ความสัมพันธ์ระหว่าง SOA และ Web Services ก็คือ Web service เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำให้ SOA เกิดขึ้นจริงและใช้ได้จริง

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

SCM,CRM คืออะไร

Supply Chain Managemen หรือ SCM หมายถึง ความพยายามที่จะทำให้เกิดความมีประสิทธิภาพในด้านการผลิต และการจัดส่งสินค้าหรือบริการ จากผู้ผลิตสินค้า ถึงผู้ซื้อโดยจะเน้นที่การทำให้กิจกรรมการสั่งซื้อวัตถุดิบ และส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ เป็นไปอย่างราบรื่น และประหยัดที่สุด

SCMโซ่อุปทาน ประกอบด้วยการผลิต และการกระจายของสินค้าหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกัน ทั้งในแง่ของเวลาการจัดส่ง ต้นทุน และความต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจัยทั้งหมดล้วนเปลี่ยนแปลงง่าย และทำนายได้ยาก การจัดการกับโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ จึงเปรียบเสมือนกับการรักษาสมดุลของสิ่งที่สลับซับซ้อนซึ่งต้องการการเตรียมความพร้อมที่ดีเยี่ยม และมีการวางแผนที่เหมาะสมพร้อมรับมือกับข้อมูลในอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา


ซึ่งบริษัทที่ตระหนักถึงความสำคัญ และเรียนรู้การจัดการกับสายโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมจะนำมาซึ่งความได้เปรียบในการแข่งขัน

SCM มีประโยชน์อย่างไร ช่วยการตัดสินใจได้ในระดับไหน ด้านใดบ้าง?
SCM จะช่วยในการตัดสินใจทั้งใน ระดับกลยุทธ์ และระดับปฏิบัติการ โดยในระดับกลยุทธ์นั้น เป็นการวางแผนระยะยาว ซึ่งอาจจะใกล้เคียง หรือเป็นสิ่งเดียวกับแผนการดำเนินงานของบริษัท โดยจะจัดทำ SCM ให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่วางเอาไว้ ขณะที่ระดับปฏิบัติการนั้น จะเป็นการวางแผนระยะสั้น บางครั้งอาจจะเป็นการวางแผนวันต่อวัน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามกลยุทธ์ที่วางเอาไว้ โดยการตัดสินใจด้านหลัก ๆ ประกอบไปด้วย เรื่องสถานที่ตั้ง, การผลิต, ปริมาณการผลิต/สินค้าคงเหลือ, การขาย/การจัดส่ง เป็นต้นประโยชน์ของ SCM นั้นมีอยู่อย่างกว้างขวาง โดยมีหัวใจหลักอยู่ที่การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันนั่นเอง อาทิ ช่วยปรับปรุงการให้บริการแก่ลูกค้า ทั้งการจัดส่งสินค้าที่ถูกต้องตามความต้องการ ทันเวลา ในราคาที่เหมาะสม, ลดต้นทุนการทำ โซ่อุปทาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทุนหมุนเวียน, เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการวัตถุดิบ งานระหว่างทำ และสินค้าคงคลัง, เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้าและวัตถุดิบระหว่างคู่ค้า, ทำให้มีการวางแผนการผลิตที่เหมาะสม และทำให้จัดการกับสินค้าคงคลังได้เป็นอย่างดีทั้งนี้ SCM จะอยู่ในรูปของอีเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น เพราะส่วนสำคัญของโซ่อุปทาน คือการส่งผ่านข้อมูลข่าวสารให้ทั่วถึงกันทั้งลูกค้า และผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่าย ผ่านระบบเน็ตเวิร์ค เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปรับปรุงผลผลิต การลดต้นทุน และการให้บริการลูกค้า ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่ง Electronic SCM (e- SCM ) จะเปลี่ยนบทบาทในการดำเนินธุรกิจ และมุมมองต่อการตลาดเสียใหม่
การนำ SCM มาใช้ให้ประสบความสำเร็จ
การนำ SCM มาใช้ให้เหมาะสมนั้นจะต้องพัฒนาขึ้นมาสำหรับทั้งระบบงานในองค์กร และเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายโซ่อุปทาน ทั้งนี้ SCM จะต้องคำนึงถึง ความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์ และ ระบบการสื่อสารของคู่ค้าในสายโซ่เดียวกัน เป็นสำคัญ เพราะแต่ละผลิตภัณฑ์ต้องการกลยุทธ์ที่ต่างกันไปความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์ โดยทั่วไปแล้วมีผลิตภัณฑ์อยู่ 2 ประเภทคือ ผลิตภัณฑ์ทั่วไป และ นวัตกรรม- ผลิตภัณฑ์ทั่วไป มีแนวโน้มจะมีอุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์คงที่ มีวงจรชีวิตยาว มีกำไรต่อหน่วยน้อย จึงต้องการSMC ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผลิตในปริมาณที่เหมาะสมต่ออุปสงค์ ด้วยต้นทุนที่ต่ำ โดยการจัดการกับผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ต้องทำให้มีการหมุนเวียนสินค้าสูง ลดสินค้าคงค้างในระบบโดยรวม ลดเวลาสั่งซื้อโดยไม่ให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และหาแหล่งวัตถุดิบราคาต่ำ- นวัตกรรม เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีวงจรชีวิตสั้น และมีอุปสงค์ที่ไม่สามารถพยากรณ์ได้ จึงจำเป็นต้องมีโซ่อุปทานที่สามารถตอบสนองความต้อกงารลูกค้าที่คาดการณ์ไม่ได้อย่างรวดเร็ว การจัดการสินค้าประเภทนี้จะต้องรักษาระดับปลอดภัยของสินค้าคงคลังไว้สูง ลดเวลาสั่งซื้อให้ได้ แม้ต้นทุนจะสูงขึ้น เลือกแหล่งวัตถุดิบที่สามารถจัดส่งได้รวดเร็ว และมีความยืดหยุ่นระบบการสื่อสารของคู่ค้าในสายโซ่เดียวกัน เนื่องจากโซ่อุปทานนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับหลายบริษัท การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างบริษัทที่เกี่ยวข้องจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อประสิทธิภาพของโซ่อุปทาน โปรแกรมต่าง ๆ ที่ช่วยให้เกิดความร่วมมือระหว่างบริษัท เช่น การจัดการสินค้าคงคลังโดยผู้ขาย (Vendor Managed Inventory), การวางแผน พยากรณ์ และเติมสินค้าคงคลังร่วมกัน (Collaborative Planning Forecasting and Replenishment, CPFR), การตอบสนองอย่างรวดเร็ว(Quick Response) และ การเติมสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่อง (Continuous Replenishment) จะช่วยให้การติดต่อระหว่างบริษัทดีขึ้น โดยโปรแกรมที่กล่าวมาข้างต้นนี้ล้วนมีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ และลดความไม่แน่นอนของข้อมูลที่สนับสนุนในสายโซ่อุปทาน

Customer Relationship Management หรือ CRM ในความหมายทั่วไป คือ กระบวนการจัดการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งใหม่ ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เพิ่งจะได้รับการกล่าวถึง และนำมาใช้ในยุคนี้ เกือบทุกองค์กรจะนำ CRM เข้ามาใช้โดยอาจอยู่ภายในหนึ่ง แผนกหรือมากกว่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นการเก็บประวัติการณ์ให้บริการ ลูกค้าของแผนกดูแลลูกค้า โดยการบันทึกความคิดเห็นของ ลูกค้า หรือข้อมูลที่ลูกค้าต้องการเพิ่มเติม ซึ่งสิ่งที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไม่นานมานี้ คือ ผลกระทบ ของเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่อกระบวนการบริหารลูกค้าที่เห็น ได้ชัดเจน คือการใช้เทคโนโลยีในการเก็บรวบรวมฐานข้อมูล ลูกค้าในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (การจัดเก็บในคอมพิวเตอร์) หรือการนำศูนย์บริการข้อมูลทางโทรศัพท์ (Call Center) เข้ามาสนับสนุนการทำงาน ระบบที่มีความทันสมัยส่วนใหญ่ จะมีความสามารถในการ จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าได้จำนวนมาก และจะเป็นเครื่องมือใน การรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อความสะดวกในการ ใช้งานขององค์กร ข้อมูลที่เก็บไว้สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ ในโอกาสต่างๆ เช่น เมื่อลูกค้าติดต่อกับองค์กรในครั้งล่าสุดเมื่อใด, เป็นการติดต่อในเรื่องอะไร, มีการแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร และใครเป็นผู้รับผิดชอบดูแลลูกค้ารายนั้น
CRM ไม่ใช่สิ่งใหม่ ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เพิ่งจะได้รับการกล่าวถึงและนำมาใช้ในยุคนี้คุณสมบัติที่ดีที่สุดของ CRM คือ ความสามารถในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว และสามารถในการประเมินความต้องการ ของลูกค้าล่วงหน้าได้ เพื่อให้การ ปฏิบัติงาน สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้สูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น การทำงานของ CRM ยังรวมถึงลักษณะเฉพาะ ที่โดดเด่นอีกจุดหนึ่ง นั่นคือการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ในการรับข้อมูลที่ตัวเองสนใจ และทันต่อเหตุการณ์ เช่น ระบบ CRM สามารถแจ้งให้เจ้าของ รถยนต์ทราบล่วงหน้าว่า รถของพวกเขาถึงเวลาอันสมควร ที่จะได้รับการตรวจเช็คจากศูนย์บริการ โดยระบบจะทราบถึงรายละเอียด ของข้อมูลลูกค้าเพื่อใช้ ในการติดต่อ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถ จดหมายแจ้งลูกค้า จะถูกส่งไปตามที่อยู่ที่ เก็บบันทึกไว้ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้ารับบริการตรวจเช็ครถคัน ดังกล่าว รวมถึงการเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้า ด้วยการแนะนำศูนย์บริการที่ใกล้ที่สุดให้ กระบวนการ CRM นี้ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น จะเห็นได้ว่าบริษัทผลิตรถยนต์ได้ใช้ระบบนี้ เพื่อสร้าง ความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเป็นทุกๆ ปี หรือทุกๆ ครึ่งปี ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและการพัฒนาของ ซอฟต์แวร์ได้ช่วยอำนวยความสะดวก ให้องค์กรสามารถเก็บ รวบรวมข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีระบบและนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อได้เปรียบที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ระบบการทำงาน ที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน ซึ่งมีความเที่ยงตรงกว่า การบริหารโดยคน และยังสามารถแสดงให้เห็นถึงทิศทาง และแนวโน้มในเรื่องต่างๆ อย่างชัดเจน เช่น อัตราการเติบโตของลูกค้า, ความจำเป็นที่จะต้องหาพนักงานใหม่ และ การฝึกฝนทีมงาน และที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

Exercise 1

1. ในมุมมองของธุรกิจนั้น การสร้างระบบสารสนเทศควรคำนึงถึงองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องอะไรบ้าง จงอธิบาย

ตอบ องค์ประกอบที่ควรคำนึงในการสร้างระบบสาระสนเทศ ประกอบ 5 องค์ประกอบดังนี้

1. ฮาร์ดแวร์
ฮาร์ดแวร์เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบสารสนเทศ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์รอบข้าง รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารสำหรับเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่าย เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดตรวจ

2. ซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการที่สอง ซึ่งก็คือลำดับขั้นตอนของคำสั่งที่จะสั่งงานให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน เพื่อประมวลผลข้อมูลให้ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการของการใช้งาน ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติงาน ซอฟต์แวร์ควบคุมระบบงาน ซอฟต์แวร์สำเร็จ และซอฟต์แวร์ประยุกต์สำหรับงานต่าง ๆ ลักษณะการใช้งานของซอฟต์แวร์ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้จะต้องติดต่อใช้งานโดยใช้ข้อความเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันซอฟต์แวร์มีลักษณะการใช้งานที่ง่ายขึ้น โดยมีรูปแบบการติดต่อที่สื่อความหมายให้เข้าใจง่าย เช่น มีส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ที่เรียกว่า กุย (Graphical User Interface : GUI) ส่วนชอฟต์แวร์สำเร็จที่มีใช้ในท้องตลาดทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับบุคคลเป็นไปอย่างกว้างขวาง และเริ่มมีลักษณะส่งเสริมการทำงานของกลุ่มมากขึ้น ส่วนงานในระดับองค์การส่วนใหญ่มักจะมีการพัฒนาระบบตามความต้องการโดยการว่าจ้าง หรือโดยนักคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในฝ่ายคอมพิวเตอร์ขององค์การ เป็นต้น

3. ข้อมูล
ข้อมูล เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของระบบสารสนเทศ อาจจะเป็นตัวชี้ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของระบบได้ เนื่องจากจะต้องมีการเก็บข้อมูลจากแหล่งกำเนิด ข้อมูลจะต้องมีความถูกต้อง มีการกลั่นกรองและตรวจสอบแล้วเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์ ข้อมูลจำเป็นจะต้องมีมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานในระดับกลุ่มหรือระดับองค์การ ข้อมูลต้องมีโครงสร้างในการจัดเก็บที่เป็นระบบระเบียบเพื่อการสืบค้นที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ

4. บุคลากร
บุคลากรในระดับผู้ใช้ ผู้บริหาร ผู้พัฒนาระบบ นักวิเคราะห์ระบบ และนักเขียนโปรแกรม เป็นองค์ประกอบสำคัญในความสำเร็จของระบบสารสนเทศ บุคลากรมีความรู้ความสามารถทางคอมพิวเตอร์มากเท่าใด โอกาสที่จะใช้งานระบบสารสนเทศและระบบคอมพิวเตอร์ได้เต็มศักยภาพและคุ้มค่ายิ่งมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะระบบสารสนเทศในระดับบุคคลซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้มีโอกาสพัฒนาความสามารถของตนเองและพัฒนาระบบงานได้เองตามความต้องการ สำหรับระบบสารสนเทศในระดับกลุ่มและองค์การที่มีความซับซ้อนมาก อาจจะต้องใช้บุคคลากรในสาขาคอมพิวเตอร์ โดยตรงมาพัฒนาและดูแลระบบงาน

5. ขั้นตอนการปฏิบัติงาน
ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ชัดเจนของผู้ใช้หรือของบุคลากรที่เกี่ยงข้องก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง เมื่อได้พัฒนาระบบงานแล้วจำเป็นต้องปฏิบัติงานตามลำดับขั้นตอนในขณะที่ใช้งานก็จำเป็นต้องคำนึงถึงลำดับขั้นตอน การปฏิบัติของคนและความสัมพันธ์กับเครื่อง ทั้งในกรณีปกติและกรณีฉุกเฉิน เช่น ขั้นตอนการบันทึกข้อมูล ขั้นตอนการประมวลผล ขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อเครื่องมือชำรุดหรือข้อมูลสูญหาย และขั้นตอนการทำสำเนาข้อมูลสำรองเพื่อความปลอดภัย เป็นต้น สิ่งเล่านี้ต้องมีการซักซ้อม มีการเตรียมการ และการทำเอกสารคู่มือการใช้งานให้ชัดเจน

2. อินเตอร์เน็ตและอินเตอร์เน็ตเทคโนโลยีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อองค์การอย่างไรจงอธิบาย พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม

ตอบ อินเตอร์เน็ตทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กรในเรื่องของการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย เพราะเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ สามารถส่งข้อมูลที่เราต้องการ มาให้ถึงบนจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านหรือที่ทำงานของเราได้ ไม่กี่วินาทีจากแหล่งข้อมูลทั่วโลก มีประโยชน์ในการรับส่งข่าวสาร ผู้ใช้ที่ต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ต สามารถรับส่งจดหมายอิเล็กตรอนิกส์ หรือ E-mail กับผู้ใช้คนอื่นๆ ทั่วโลก ในเวลาอันรวดเร็ว มีค่าใช้จ่ายต่ำมาก นอกจากนี้ ยังอาจส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แฟ้มข้อมูล รูปภาพ ข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ที่เป็นภาพและเสียง ได้อีกด้วย ซึ่งในทางธุรกิจอินเตอร์เน็ตมีประโยชน์ดังนี้
- ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ
- ประชาสัมพันธ์หลากหลายรวดเร็ว กว้างไกล ลดต้นทุน
- สื่อน่าสนใจ ดึงดูดใจลูกค้า
- สามารถซื้อขายสินค้า ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (E-commerce)
- การให้คำแนะนำ สอบถามปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้า แจก



3. ท่านคิดว่าการเรียนแบบ virtual classroom หรือ e-learning มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง

ตอบ ข้อดีของการเรียนแบบ e-learning มีดังนี้

1. ความยืดหยุ่นและความสะดวก (Flexibility and Convenience)
ผู้เรียน E-Learning สามารถเข้าถึงเนื้อหาหลักสูตร ณ เวลาและสถานที่ใดก็ได้ตามแต่ความสะดวก ซึ่งเป็นการขจัดข้อจำกัดทางกายภาพที่เกิดจากการเรียนในห้องเรียนแบบเดิม การเรียนผ่านเว็บสามารถเรียนได้จากที่บ้าน ที่ทำงาน หรือสถานศึกษาตามความสะดวกของผู้เรียน เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าใช้จ่ายในการใช้ห้องเรียนด้วย


2. เรียนได้ทันใจตามต้องการ (Just-time Learning)
นักเรียนสามารถเรียนผ่านเว็บได้ทุกขณะที่ต้องการ การเรียนแบบ E-Learningจึงสามารถชักจูงใจและทำให้ผู้เรียนเรียนได้เป็นเวลานานโดยไม่เบื่อ ผู้เรียนสามารถค้นหาและเข้าถึงความรู้ใหม่ๆได้ทันเวลาและความต้องการ เนื้อหาบนเว็บที่ถูกสร้างและปรับปรุงขึ้นใหม่ทุกขณะ ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิตและนำไปใช้ได้อย่างทันเหตุการณ์


3. ความทันสมัย (Currency)
เนื้อหาที่ใช้ในการเรียนบนเว็บนั้นสามารถปรับปรุงให้ทันสมัยได้ง่ายเมื่อเปรียบเทียบกับหนังสือเรียน จึงทำให้ครูสามารถนำเสนอข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่มีอยู่ให้แก่ผู้เรียน


4. รูปแบบมัลติมีเดีย (Multimedia Format)
เวิลด์ ไวด์ เว็บ ช่วยให้การนำเสนอเนื้อหามีรูปแบบที่หลากหลาย รวมทั้งตัวอักษรเสียง วิดีทัศน์ และการติดต่อสื่อสาร ณ เวลาจริง คุณสมบัตินี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเลือกรูปแบบการนำเสนอที่มีประสิทธิภาพต่อการเรียนของตนมากที่สุด และครูผู้สอนก็สามารถเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับหลักสูตรมากที่สุดได้


4. สถาบันการศึกษาได้ประโยชน์อะไรจากการใช้ระบบ e-learning

ตอบ สถาบันการศึกษาได้ประโยชน์จากการใช้ระบบ e-learning ดังนี้
- สามารถรับผู้เรียนได้เพิ่มมากขึ้น
- สร้างความโดดเด่นให้กับสถานศึกษา
- สามารถนำข้อมูลของผู้เรียนมาทำการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงสถาบันได้
มีรายได้เพิ่มมากขึ้น
- สามารถสร้างรายได้พิเศษจากการลงโฆษณาประชาสัมพันธ์
- ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เช่น อาคารสถานที่ บุคคลากร เป็นต้น
- สร้างความไว้วางใจ ความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับเนื้อหาและการเรียนให้กับผู้เรียนและผู้ปกครองได้



5. ท่านต้องการที่จะเรียนในบบ e-learning หรือไม่ เพราะเหตุใด

ตอบ ต้องการ เพราะว่า การเรียนแบบระบบ e-learning เป็นการเรียนในรูปแบบที่ยืดหยุ่นตามความต้องการของผู้รียน สามารถเรียนในลักษณะของผู้เรียนและผู้สอนไม่อยู่พร้อมกัน ก็ได้